วิเคราะห์ … “ยักษ์ 6 ล้ม”
วันนี้ Microsoft แตะ $2 Trillion แล้วทำให้ย้อนไปดูอดีต ทั้ง Microsoft และ Apple ในช่วงที่ Shining แล้วก็ล้มลุกคลุกคลาน แล้วก็กลับมา Shining อีกครั้ง
ทำให้พบว่า …
ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ทั้ง Apple , Microsoft , Intel สะดุดหกล้มคล้ายๆกัน จากสาเหตุเดียวกัน คือ “เลือกผู้นำผิด”
ในขณะที่ Google และ Facebook ยังไม่เจอปัญหานี้
[ Apple ]
- ปี 1983 Steve Jobs เห็นว่าตัวเค้าต้อง Focus และขลุกอยู่กับการคิดค้น Innovation การที่เค้าจะต้องไปจัดการงานอื่นๆในตำแหน่ง CEO จะทำให้ Apple II เกิดช้า และอาจจะถึงขั้นโดนคู่แข่งชิงตัดหน้า
- Steve Jobs จึงเฟ้นหาตัว CEO มือดี เพื่อมาเป็น CEO ของ Apple แล้วเค้าก็เล็งไปที่ John Sculley ซึ่งตอนนั้นเป็น CEO ของ PEPSI
- Steve Jobs ไม่รอช้า เข้าไปพบ John Sculley เพื่อโน้มน้าวให้ John Sculley มาเป็น CEO ของ Apple
- คำของ Steve Jobs ที่ทำให้ John Sculley ยอมมาเป็น CEO ของ Apple คือ “คุณจะขายน้ำอัดลมไปจนตาย หรือจะมาเปลี่ยนโลกกับผม”
- John Sculley เป็นนักการตลาด ไม่ใช่นักคิดค้น ไม่ใช่ Innovator ทำให้ตอนดำรงตำแหน่ง CEO นั้น John Sculley สนใจแต่เรื่องที่ว่า “จะทำไงให้ Apple กำไรสูงสุด”
- John Sculley ตัดงบ R&D ของ Apple II ลง แล้วเดินหน้าขาย Apple I ไปเรื่อยๆ เพราะเห็นว่า
“ในเมื่อของปัจจุบันมันขายได้ แล้วจะเสียตังพัฒนาของใหม่ไปทำไม”
- John Sculley สั่งลดจำนวนฝ่าย R&D ลง ทำให้ Steve Jobs โมโหมาก โต้เถียงกับ John Sculley
- ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
- ปี 1985 ในที่ประชุมบอร์ดบริหาร John Sculley ให้บอร์ดทุกคนยกมือโหวตออกเสียง ว่าจะให้เค้าดำรงตำแหน่ง CEO ต่อไป หรือจะไล่ Steve Jobs ออกจาก Apple
- บอร์ดบริหาร Apple ตอนนั้นเชื่อ John Sculley ผลการโหวตออกมาคือ John Sculley ดำรงตำแหน่ง CEO ต่อไป ส่วน Steve Jobs ต้องออกจาก Apple ( เพียง 2 ปีหลังจากที่ Steve Jobs ดึง John Sculley เข้ามาร่วมงาน )
- แล้วหลังจากนั้นยอดขาย Apple ก็เริ่มดำดิ่งลง เนื่องจาก Apple I เริ่มมีคู่แข่ง แล้วคู่แข่งก็เริ่มสร้างผลิตภัณฑ์ที่นำหน้า Apple I
- Apple ตกต่ำลงเรื่อยๆ จนกระทั่งบอร์ดบริหารก็ไล่ John Sculley ออกจากบริษัท ตั้ง CEO (จำไม่ได้เหมือนกันว่าตอนนั้นเป็นใคร)
- ปี 1995 Apple อยู่ในขั้น Bankrupt ( แบงค์ฟ้องล้มละลาย )
- ปี 1996 CEO Apple ณ ตอนนั้น ตัดสินใจซื้อกิจการ NEXT ซึ่งมี Steve Jobs เป็นเจ้าของ มาเป็นส่วนหนึ่งของ Apple ( ซื้อ $427 ล้าน )
- การตัดสินใจซื้อ NEXT ก็เพื่อจะดึง Steve Jobs กลับมา Apple เพื่อกอบกู้สถานการณ์นั่นเอง
- ตำแหน่งที่ Steve Jobs ตอนที่กลับมา Apple คือ iCEO หรือ Interim CEO หรือ CEO ชั่วคราว เพราะ Steve Jobs ไม่ต้องการเป็น CEO แต่ต้องการไป Focus งาน R&D
- ตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา Steve Jobs ก็ร่ายเวทมนต์ ทำให้ Apple กลับมาผงาดอีกครั้ง
- จากตำแหน่ง CEO ชั่วคราว ( iCEO ) จึงเปลี่ยนเป็น CEO เต็มตัว ซึ่ง Steve Jobs ก็ยอมรับตำแหน่ง CEO
- หลังจากนั้นผลิตภัณฑ์ต่างๆของ Apple ก็มีคำว่า i นำหน้า
- Steve Jobs รับงาน CEO แต่ตัวเขาก็ยังคงหมกมุ่นอยู่กับงาน R&D โดยมี Tim Cook มาเป็นแขนขาด้าน Supply Chain และ Jony Ive มาเป็นแขนขาด้าน Design
- ปี 2010 ก่อนที่ Steve Jobs จะเสีย เขาบอกว่า Tim Cook และ Jony Ive เมื่อสองคนนี้รวมกัน ก็จะได้ตัวเขา ( Steve Jobs ) นั่นเอง
- Steve Jobs ฝาก Tim Cook ว่า “อย่าตัดสินใจในแบบที่ผม(Steve Jobs)จะทำ แต่ตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องกับสถานการณ์”
- จากนั้น บริษัทที่เกือบล้มละลาย Apple ก็กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าที่สูงสุดในโลก
[ Microsoft ]
- Bill Gates สะเทือนทุกตลาด Software จนกระทั่งปี 1995 เป็น World Richest man
- Microsoft โดน Netscape ฟ้องจนถูกปรับหลายพันล้าน Dollar เรื่องผูกขาด Browser
- ปี 1999 Microsoft ประสบปัญหาหลายอย่าง และเผชิญหน้ากับคู่แข่งสำคัญที่เกิดขึ้นมาใหม่เป็นดอกเห็ด เช่น ทั้งแพ้คดี Netscape , Microsoft Network ปิดตัวลง , Sun Microsystem รุกตลาด dot COM , AOL ซื้อ Netscape , Times Warner ควบกิจการ AOL , Linux เริ่มแข็งแกร่ง , …
- บอร์ดบริหารกดดัน ทำให้ Bill Gates step down ลงจากตำแหน่ง CEO แล้วเหลือเป็น chairman ตำแหน่งเดียวเท่านั้น
- ปี 2000 Steve Ballmer ขึ้นมาเป็น CEO แทน Gates ( ตอนนั้นผมคิดในใจว่า ความซวยมาเยือน Microsoft แล้ว บอร์ดคิดแบบนี้ผิดพลาดมาก )
- Ballmer เป็นนักจัดการ ( COO ) ที่ดี แต่ไม่ใช่ผู้นำสูงสุดที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริษัทที่ต้องนำพาด้วย innovation
- ตลอด 14 ปี ( 2000 – 2014 ) Microsoft ก็เริ่มดำดิ่งลงเรื่อยๆ
- โชคยังพอเข้าข้าง Ballmer ตรงที่ Windows ยังขายได้เรื่อยๆ ( กินบุญเก่าที่ Gates ปั้นเอาไว้ )
- ช่วง Ballmer บริหาร ทำให้ Microsoft แพ้ Apple และ Google ไปซะทุกเรื่อง ทั้ง Search , Android , ซื้อ NOKIA ผิดพลาด , ทำ Zune ออกมาเลียนแบบ iPod แล้วล้มพัง , ปล่อย Amazon ทำ Cloud ก่อน , Linux เติบโตระเบิด , ฯลฯ และ ฯลฯ และ ฯลฯ
- Ballmer สนใจแต่เรื่องตัวเลข ส่วน R&D และ Innovation เป็นรอง
“ในเมื่อของปัจจุบันมันขายได้ แล้วจะเสียตังพัฒนาของใหม่ไปทำไม”
- Microsoft ไม่มีอะไรสำเร็จซักอย่าง หรือนำหน้าคู่แข่งเลย ปล่อยให้ Apple แซง ให้ Google เกิด ให้ Amazon แย่งตลาด
- Apple และ Google และ Amazon เริ่มมีมูลค่าแซงหน้า Microsoft
- ปี 2014 บอร์ดบริหารกดดัน Steve Ballmer ให้ลงจากตำแหน่ง CEO
- แล้ว Microsoft ก็ได้ Satya Nadella ซึ่งเป็น Software Engineer เป็นนักพัฒนาที่ดูแลธุรกิจ Azure ณ ตอนนั้นมาเป็น CEO
- เบื้องลึกแล้ว Bill Gates คือผู้ที่ดัน Satya มาเป็น CEO แทน Ballmer
- ตั้งแต่ปี 2014 – 2020 ( 6 ปี ) Bill Gates จะป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะแนะ Satya ตลอดเวลา โดยเฉพาะการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ
- 6 ปี ที่ Satya บริหาร แนวทางทุกอย่างของ Microsoft ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
- Satya ไม่ใช่นักสร้างศัตรู แบบที่ Ballmer ทำประจำ
- Satya เปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรได้ทั้งหมด เช่น IBM , Redhat , Google , แม้กระทั่ง Linux
- market capital ( มูลค่าบริษัท ) ของ Microsoft เริ่มกลับมาแซง Google และ Amazon และเคยแซง Apple อยู่ช่วงนึง
- ปี 2021 Bill Gates ประกาศออกจากทุกตำแหน่งใน Microsoft แต่ยังคงเก็บหุ้นบางส่วนไว้
- ปี 2021 Satya ขึ้นตำแหน่ง CEO ควบคู่กับ Chairman
- 23/06/2021 Microsoft มีมูลค่าแตะระดับ $2 Trillion เป็นบริษัทที่ 2 ที่มูลค่าสูงสุด เป็นรองแค่ Apple เท่านั้น
[ Intel ]
- ปี 1965 Gordon Moore ซึ่งเป็นวิศวกรในแผนก R&D ของบริษัท Fairchild Semiconductor ได้ตัดสินใจลาออกจากบริษัท มาร่วมกับเพื่อนอีกคนคือ Robert Noyce เพื่อสร้างบริษัท Chip Semiconductor
- Gordon Moore และ Robert Noyce ตั้งบริษัทชื่อว่า Integrated Electronics ซึ่งมันค่อนข้างจะยาวไป เลยตั้งสั้นๆว่า INTEL
- Intel พัฒนา chip รุ่น 4004 ออกตลาดครั้งแรก ตามด้วย 8008 และนั่นทำให้เป็นจุดกำเนิดของ CPU
- ปี 1974 Intel เปิดตัวชิปใหม่ รุ่น 8080 เป็น chip ตัวแรกที่ถูกผลิตออกมาเป็นคอมพิวเตอร์ หนึ่งในนั้นคือรุ่น Altair นั่นทำให้ Bill Gates มองเห็นอนาคตว่า “สิ่งนี้กำลังจะเกิด เขาจะต้องรีบสร้าง Software มาป้อนชิป x86 นี้” Bill Gates จึงลาออกจากมหาวิทยาลัยออกมาตั้งบริษัท Microsoft
- หลังจากนั้น Intel ก็เซ็นสัญญากับ IBM เพื่อผลิต chip ป้อนคอมพิวเตอร์ของ IBM
- แต่ IBM กลัวว่าถ้าเกิด Intel ล้มหายไปหล่ะ ธุรกิจคอมพิวเตอร์ก็ IBM ก็ล้มไปด้วยสิ IBM จึงตั้งสัญญาใหม่กับ Intel ว่าจะต้องมีบริษัทอื่นสำรองป้อนชิปให้ IBM ได้ด้วย
- Intel ซึ่งตอนนั้นยังเล็ก ต้องทำตาม IBM จึงเชิญบริษัทที่ผลิตชิป Semiconductor อีกราย มาร่วมบริษัทชิป x86 ให้ IBM นั่นคือ AMD
- Intel มอบโครงสร้าง x86 ให้ AMD ไปร่วมกันผลิตป้อน IBM
- หลังจากนั้น Apple โต Compaq เกิด HP ไล่ตาม จน IBM สั่นคลอน
- คู่แข่งเกิดมากมาย และเอาชนะได้ง่าย เพราะ IBM = แพง
- Intel เริ่มมองเห็นว่า AMD จะกลายเป็นคู่แข่ง และ IBM ก็ดูจะไม่มั่นคง Intel จึงเริ่มไม่ให้ AMD เห็นโครงการชิปรุ่นใหม่ๆ
- AMD ฟ้อง Intel และหลังจากนั้นก็ชนะ Intel ด้วย
- Intel จึงยุติสัญญาเดิม โดยตั้งแต่ chip รุ่นใหม่ 80386 ( หรือ 386 ) เป็นต้นไป Intel จะขายให้ใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้อนเป็น IBM เจ้าเดียว
- AMD เมื่อได้โอกาสเข้าธุรกิจนี้แล้ว จากที่เคยเป็นพันธมิตรกับ Intel จึงเริ่มกลายเป็นศัตรูกัน
- นับจาก 386 เป็นต้นมา Intel ก็เริ่มนำหน้า AMD มาโดยตลอด เพราะไม่ต้องเปิดโครงสร้างชิปให้ AMD เห็นอีกต่อไปแล้ว
- Intel โตขึ้นเรื่อยๆ และได้ค้นพบสูตรสำเร็จการผลิตคือ Moore’s Law คือ “ทุกๆ 18 เดือนขนาดของ transistor จะเล็กลง 2 เท่า” นั่นทำให้ ทุกๆ 18 เดือน cpu จะแรงขึ้น 2 เท่า
- Gordon Moore ยังตั้งสูตร Tick Tock ให้เกิดเป็นวัฒนธรรมของ Intel นั่นคือ “เราจะลดขนาด transistor ( Tick ) และพัฒนา feature ใหม่ๆลงใน chip ( Tock ) สลับกันไปแบบนี้ ปีเว้นปี”
- ทั้ง Moore’s Law และ Tick Tock ทำให้ AMD ตามไม่ทัน และ Intel เติบโตสุดขีด
- แต่อายุคนก็ต้องแก่ลง เมื่อถึงคราวที่ต้องเปลี่ยนผ่านตำแหน่ง CEO ทาง Gordon Moore จึงเลือกวิศวกร มาดำรงตำแหน่ง CEO แทนเขา คือ Andrew Groove
- ปัจจุบัน Intel มี CEO มาแล้ว 8 คน โดย 5 คนแรกเป็นวิศวกรที่มาจากสาย R&D ซึ่ง 5 คนแรกนี้ทำให้ Intel เติบโตมาตลอด และพวกเขาสานต่อ Law’s Moore และ Tick Tock
- จนกระทั่ง Intel เปลี่ยน CEO คนที่ 6 เปลี่ยนจากสาย Engineer มาเป็นสาย Marketing
- นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ Inetl กดชิปจาก 14 nm ให้เหลือ 7 nm ไม่ได้ซักที
- ทุกครั้งที่จะลดขนาด transistor ให้มีขนาดเล็กลง จะต้องลงทุนสร้างโรงงานใหม่ และลงทุนไม่ต่ำกว่าพันล้าน Dollar ยิ่ง Transistor มีขนาดเล็กมากขึ้น เงินลงทุนก็ยิ่งสูงขึ้นทวีคูณ
- CEO คนที่ 6 และ 7 ซึ่งเป็นสายการตลาด สนใจแต่ตัวเลขกำไร จึงไม่ยอมลงทุนสร้างโรงงานใหม่เพื่อผลิตชิประดับ 7 nm โดยมีความเห็นว่า
“ในเมื่อของปัจจุบันมันขายได้ แล้วจะเสียตังพัฒนาของใหม่ไปทำไม”
- CEO คนที่ 6 และ 7 กินบุญเก่าที่ CEO คนก่อนๆของ Intel สร้างเอาไว้ จนกระทั่ง
- ปี 2019 ทาง AMD จ้าง TSMC ผลิตชิป Ryzen ระดับ 7nm ได้สำเร็จ ขย่มตลาด PC ของ Intel
- ปี 2020 ทาง Apple ตัดสินใจเปลี่ยนชิปจาก Intel ไปเป็น ARM โดยให้ TSMC ผลิตเช่นกัน ได้เป็นชิป M1 ระดับ 7 nm แรงแซงหน้าชิป Intel แทบทุกตัว
- nVidia คว้า ARM ไปครอง กินตลาดชิปมือถือเบ็ดเสร็จ ในแบบนี้ Intel เคยพยายามแย่งแต่ก็ล้มไป
- Intel กำลังเจอกับคู่แข่ง ที่แข็งแกร่งล้อมวง ทั้ง AMD , Apple , nVidia , TSMC , Samsung ซึ่งทุกเจ้ากระโดดไปที่ 7 nm กันหมดแล้ว และกำลังจะไป 5 nm ในขณะที่ Intel ยังคงอยู่กับที่ 14 nm มา 5 ปี
- ตลอด 6 ปีที่ CEO สาย Marketing ของ Intel ไม่สนใจ R&D ทำให้ Intel เริ่มดำดิ่งจนกระทั่ง
- ปี 2021 Intel เปลี่ยนตัว CEO ชื่อ Patrick P. Gelsinger เข้ามาแทน ซึ่งเป็น CEO คนที่ 8 ( ปัจจุบัน )
- Patrick P. Gelsinger มาจากสายวิศวกรรม และ R&D
- Patrick P. Gelsinger ประกาศว่า Intel จะสร้างโรงงงานใหม่ สำหรับผลิตชิป 7nm แล้วเขารีบสั่งจองเครื่องผลิตชิปนั้นและสร้างโรงงานในทันที
- Patrick P. Gelsinger ประกาศว่า นับจากนี้ไป Intel จะรับจ้างผลิตชิปให้บริษัทรายอื่น แบบที่ TSMC ทำ ( การรับจ้างผลิตจะสร้างรายได้ทางอ้อม passive income ให้ Intel เพื่อไม่ให้โรงงานที่สร้างขึ้นใหม่ มีรายได้แค่ทางเดียว )
- Patrick P. Gelsinger รีบลงทุนใน RISC-V ซึ่งเป็นคู่แข่งกับ ARM
- ทำให้ผมเห็นว่า Intel ยุคใหม่นี้ โดยมีผู้นำที่มาจากสาย R&D กำลังจะพลิกฟื้น Intel และดูจากแผนการแล้ว เขามีโอกาสทำได้สำเร็จสูง
[ บทเรียน ]
“บริษัทด้าน Innovation ควรดึงผู้นำที่เป็น Innovator มานำ”
และอย่าเอา Marketing man มานำ
เพราะ Marking มักคิดตรงข้ามกับ R&D
คนหนึ่งต้องการกำไรสูงสุด
อีกคนต้องการนวัตกรรมสูงสุด
20210623://TNK.Theory
—————————
( รอบนี้ไล่ยาวเลย รีบเขียนบันทึกบทเรียนสำคัญไว้ก่อนที่จะลืม )